สถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดในมหาสารคาม

แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าเที่ยวที่สุด...

8 แห่ง ในจังหวัดมหาสารคาม

.........................................................................................................................................
         นี้คือเว็บไซต์แนะนำการท่องเที่ยวอันแรกที่ได้ทำ เลยอยากรีวิวสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดมหาสารคามแล้วกันนะคะ สถานที่ท่องเที่ยวที่คนในจังหวัดรู้จักกันเป็นอย่างดี  และที่ที่ชอบไปมากที่สุดตั้งแต่เล็กจนโตและประทับใจทุกครั้งที่ได้ไป เย็นสบาย ร่มรื่น เงียบสงบทำให้รู้สึกผ่อนคลายในสถานที่ท่องเที่ยวนี้มี ดังนี้

1. วนอุทยานโกสัมพี


ที่ตั้ง : เป็นที่สาธารณะประโยชน์อยู่ติดกับหมู่บ้านคุ้มกลาง หมู่ที่ 1 ตำบลหัวขวาง ในเขตสุขาภิบาล อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ป่าหนองบุ้งอยู่ห่างจากอำเภอโกสุมพิสัยประมาณ 500 เมตร มีเนื้อที่ประมาณ 125 ไร่ โดยส่วนอุทยานแห่งชาติเริ่มเข้าดำเนินการจัดตั้งเป็นวนอุทยานเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2519 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน โดยมีชื่อว่า วนอุทยานโกสัมพี
          ประวัติความเป็นมา : 
            ป่าหนองบุ้งเป็นป่าดงดิบตามธรรมชาติและมีศาลเจ้าปู่ ซึ่งเป็นที่เคารพบูชานับถือของชาวบ้านท้องถิ่นเป็นคู่บ้านคู่เมืองของชาวอำเภอโกสุมพิสัยมาตั้งแต่เดิม และจากการบอกเล่าของราษฎรผู้สูงอายุทั่วไปในท้องถิ่นว่า ไม่มีผู้ใดทราบว่าใครเป็นผู้สร้างศาลาเจ้าปู่หรือศาลเจ้าปู่ตาคนแรก แต่ศาลเจ้าปู่ได้มีการก่อสร้างบูรณะเพิ่มเติมให้อยู่ในสภาพดีเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน และยังเป็นป่าดงดิบตามธรรมชาติที่อยู่ใกล้ชุมชนที่สุดแห่งหนึ่งและยังมีลิงวอกอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นลิงวอกชนิดเดียวกับลิงวอกที่อยู่ในศาลพระกาฬ จังหวัดลพบุรี ต่อมากรมป่าไม้จึงได้ทำการสำรวจพื้นที่และจัดตั้งเป็นวนอุทยาน ซึ่งมีชื่อว่า วนอุทยานโกสัมพี เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2519 เพื่อนุรักษ์ทรัพยากร-ธรรมชาติไว้เพื่อศึกษาและเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของประชาชนทั่วไป
ชนิดสัตว์ป่า
               

          การเดินทาง : ไปวนอุทยานโกสัมพี อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม นั้นสะดวกสบายมากที่สุด คือไปตามเส้นทางหลวงหมายเลข 208 จังหวัดมหาสารคาม ไปตำบลท่าพระ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ประมาณ 28 กิโลเมตร ก็จะถึงวนอุทยานโกสัมพี อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม หรือจะเดินทางจากตำบลท่าพระ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่นก็ได้ ระยะทางประมาณ 28 กิโลเมตรเช่นกัน

สถานที่น่าสนใจในวนอุทยาน

  1. แก่งตาด  เป็นหินดินดานที่มีบริเวณกว้างอยู่ในลำน้ำชี ตั้งอยู่ด้านทิศเหนือและทิศตะวันออกของวนอุทยานโกสัมพี ในช่วงฤดูแล้งระหว่างเดือนพฤศจิกายน-พฤษภาคม น้ำตื้นมองเห็นหินดินดาน ที่มีน้ำไหลกระทบเป็นฟองคลื่นขาวสะอาดตาและบริเวณที่ติดต่อกับริมฝั่งลำน้ำชีก็มีทัศนียภาพที่สวยงามเช่นกัน                                                                                                                    
  2. ลานข่อย  เป็นลานต้นข่อยที่มีอยู่เดิมตามธรรมชาติ ตกแต่งเป็นไม้แคระรูปต่างๆ มากกว่า 200 ต้น
  3. ลิงแสม  เป็นสัตว์ประจำถิ่นของป่าแห่งนี้มี 2 พันธุ์ คือ ลิงแสมสีเทาและลิงแสมสีทอง
  4. พระมิ่งเมือง  เป็นพระพุทธรูปแกะสลักจากหินสิลาแลงตอนค้นพบมีสภาพชำรุดทรุดโทรมมากโดยเศียรและส่วนบนของอค์พระได้หายไป ต่อมาเมื่อชาวโกสุมพิสัยได้มาสร้างบ้านแปรงเมืองขึ้น ณ จุดนี้ จึงได้ทำการบูรณะและสร้างมณฑปถวาย ปัจจุบันพระพุทธรูปองค์นี้ประดิษฐานอยู่ที่ด้านหน้าวัดกลางโกสุม ก่อนถึงทางเข้าวนอุทยานโกสัมพีเพียงไม่กี่สิบเมตร เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของชาวเมืองโกสุมพิสัย

ดูลิง โกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม


2. บึงบอน

          ที่ตั้ง : ตำบลหัวขวาง อำเภอโกสุมพิสัย ซึ่งอยู่ถัดจากวนอุทยานโกสัมพีไปประมาณ 100 เมตร หรือห่างจากตัวอำเภอโกสุมพิสัยประมาณ 2 กม. บึงบอนเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่มีเนื้อที่ 120 ไร่ ความลึกของบึงประมาณ 2.50 เมตร และมีถนนรอบบึงซึ่งได้รับงบพัฒนาฯ จาก ททท. โดยมีความกว้าง 5 เมตร ยาว 2,689 เมตร นับว่าเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจอีกแห่งหนึ่ง การเดินทางสามารถ ใช้เส้นทางเดียวกันกับวนอุทยานโกสัมพี.
          การเดินทาง : โดยรถยนต์ : จากตัวเมืองใช้เส้นทางหมายเลข 208ประมาณ 28 กิโลเมตร ถึงสี่แยกโกสุมพิสัย ตรงเข้าทางลาดยาง 450 เมตร
    สวนธารณะบึงบอน
           ภาพภูมิทัศน์ของบึงบอน : ภูมิทัศน์ บริเวณถนนรอบๆ บึงบอน ซึ่งเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจอีกแห่งหนึ่ง ของ จังหวัดมหาสารคาม

3. บึงกุย หรือ สะดืออีสาน

         ที่ตั้ง : หมู่ที่ 13 ตำบลหัวขวาง อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม 44140 บึงกุยเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ของ ตำบลหัวขวาง ตำบลแก้งแก และตำบลเหล่า อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม และเป็นสะดืออีสาน มีสิ่งก่อสร้างที่มีสัญลักษณ์ของสะดืออีสาน มีพื้นที่ 2,750 ไร่ จุน้ำได้ 4.3 ล้านลูกบาศก์เมตร 
         การเดินทาง : จากอำเภอเมืองมหาสารคาม ใช้เส้นทางมหาสารคาม - โกสุมพิสัย สะดืออีสานจะอยู่ฝั่งซ้ายมือ ก่อนถึงตัวอำเภอโกสุมพิสัย   สามารถเดินทางมาโดย 1. รถยนต์ส่วนตัว 2. รถโดยสารปรับอากาศประจำทางชั้น 2 สายขอนแก่น - โกสุมพิสัย - มหาสารคาม (รถสีบานเย็นคาดขาว)
        

          ทั้งนี้ สะดืออีสานแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เป็นสัญลักษณ์ที่เปรียบเสมือนเป็นจุดพิกัดกึ่งกลางของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักนิยมเดินทางมาเก็บภาพประทับใจ เพื่อเป็นการบันทึกความทรงจำว่าครั้งหนึ่งได้เคยมายืนอยู่ ณ ศูนย์กลางของภาคอีสานแล้ว 
         สำหรับ "สะดืออีสาน" หรือ "จุดศูนย์กลางของภาคอีสาน" เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจแห่งหนึ่งในเขตพื้นที่อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม โดยตั้งอยู่บริเวณทิศตะวันออกของโรงเรียนบ้านเขวา ตำบลเหล่า ภายในพื้นที่มีอาณาเขตที่กว้างขวาง มีการจัดตกแต่งเป็นสวนสาธารณะที่ร่มรื่น สามารถมองเห็นวิวสวยของ "บึงกุย" บึงน้ำขนาดใหญ่ได้อย่างสวยงาม ซึ่งเหมาะแก่การเดินทางมาพักผ่อนหย่อนใจ และเก็บภาพประทับใจไว้เป็นที่ระลึก 
           "บึงกุย" หมายความว่า หนองน้ำที่มีกลิ่นเหม็นคาวปลา เนื่องจากมีปลาและสัตว์อาศัยอยู่หนาแน่มาก เกิดกลิ่นเหม็นคาว เลยทำให้น้ำเน่าเหม็น จึงเรียก "บึงกุย" ซึ่งบ่งบอกถึงความอุดมสมบรูณ์ ชาวบ้านในเขตอำเภอโกสุมพิสัยและอำเภอใกล้เคียงได้อาศัยบึงกุยเป็นแหล่งทำมาหากิน โดยเฉพาะการประมง มีการจับปลาจากบึงกุยมาขาย แลกเปลี่ยนเป็นอาชีพหลักและอาชีพรอง ถือเป็นแหล่งสร้างรายได้ให้แก่คนในชุมชนโดยรอบ
          ทางเข้าไปสะดืออีสานยังมีจุดให้ถ่ายภาพสวยๆ หลายๆมุม ซึ่งเป็นที่คนนิยมมามากรองจากวนอุ
ทยานโกสัมพี บรรยากาศเย็นสบาย เงียบสงบ และขอบอกว่าใครได้มาจะถือว่าคุ้มมาก เป็นที่นิยมหรับหรับทุกวัยเพราะมีจุดถ่ายภาพมากมาย หรือจะพาครอบครัวมาเปลี่ยนบรรยากาศได้ เวลาที่คนนิยมมักจะเป็นช่วงเย็น เวลา 16.00 - 18.00 คนจะเยอะมากเพราะช่วงเวลานี้ถ่ายภาพสวยและอากาศเย็นดี

สะดืออีสาน อ.โกสุมพิสัย


4. หาดวังโก

         ที่ตั้ง :  หาดวังโก บ้านท่าเดื่อ ต.หนองบอน โกสุมพิสัย มหาสารคาม 44140
         หาดวังโก เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจแห่งหนึ่งในอำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ที่เพิ่งพัฒนาเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ตั้งอยู่ที่อำเภอ ท่าเดื่อ  ต.หนองบอน อ.โกสุมพิสัย จ.มหาสารคาม  เปิดบริการ 08.00 น. – 18.00 น. ทุกวัน 
         ลักษณะเป็นทะเลน้ำจืดขนาดใหญ่  สำหรับครอบครัวที่มีลูกหลานจะพาเด็กๆมาเล่นเครื่องเล่นต่าง ๆ มาก เช่น บานาน่าโบ๊ท  โดนัทสกี ยังมีเปลชายหาดและร่มไว้สำหรับนอนพักตากอากาศ อาบแดด มีร้านอาหารต่าง ๆ หลายร้านด้วยกัน  ภูมิทัศน์ บริเวณถนนรอบๆ หาดวังโก ซึ่งเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจอีกแห่งหนึ่ง ของ จังหวัดมหาสารคาม
          การเดินทาง : ไปตามเส้นทางมหาสารคาม-โกสุมพิสัย ขอนแก่น หาดวังโก จะอยู่ขวามือถ้าเรามุ่งหน้าไปขอนแก่นออกจากโกสุมมาได้ไม่ไกลนัก 

5.พระธาตุนาดูน หรือ พุทธมณฑลแห่งอีสาน 

          ประวัติความเป็นมา : 
          เมื่อปี พ.ศ. 2522 ที่บ้านนาดูน มีการขุดพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์โบราณคดีที่แสดงว่า บริเวณแห่งนี้เคยเป็นศูนย์กลางความเจริญรุ่งเรื่องของนครจำปาศรี เมืองโบราณในอดีต โบราณวัตถุต่างๆ ที่ค้นพบ ได้นำไปแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจังหวัดขอนแก่น และที่สำคัญยิ่งก็คือการพบสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุบรรจุในตลับทองคำ เงิน และสำริด สันนิษฐานว่ามีอายุอยู่ในพุทธศตวรรษที่ 13 – 15 สมัยทวาราวดี นอกจากนี้ยังพบพระพุทธรูป พระพิมพ์ลายหลายแบบจำนวนมาก
สถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่ค้นพบทำด้วยทองสำริด แยกเป็น 2 ส่วน คือ
1. ตัวสถูปหรือองค์ระฆัง แบ่งออกเป็น 2 ตอน คือ ตัวสถูปเป็นส่วนที่บรรจุ พระอังคาร (ขี้เถ้า) เทียนดอกไม้ และตอนคอสถูปเป็นส่วนที่บรรจุผอบพระบรมสารีริกธาตุ โดยผอบจะบรรจุพร้อมกัน 3 ชั้น คือ ผอบทองคำ จะซ้อนอยู่ในผอบเงิน ผอบเงินจะซ้อนอยู่ในผอบทองสำริด ทุกผอบมีฝาปิดมิดชิด ภายในผอบทองคำมีพระบรมสารีริกธาตุบรรจุ 1 องค์ มีลักษณะเป็นเกล็ดสีขาวขุ่นขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารหักครึ่ง หล่อเลี้ยงไว้ด้วยน้ำมันจันทน์เมื่อเปิดออกมาจะมีกลิ่นหอมมาก
2. ส่วนยอดทำด้วยทองสำริดกลมตัน ทำเป็นปล้องไฉนลูกแก้วและปลียอด ตอนต้นทำเป็นเกลียวสามารถปิดประกอบกับส่วนตัวองค์สถูปได้พอดี
ต่อมารัฐบาลอนุมัติให้ดำเนินการก่อสร้างพระธาตุนาดูนขึ้นในบริเวณที่ขุดพบสถูป เนื้อที่ 902 ไร่ โดยใช้สถูปที่ค้นพบมาเป็นแบบในการก่อสร้างพระธาตุนาดูน องค์พระธาตุมีความสูง 50.50 เมตร จำลองรูปทรงแบบสมัยทวารวดี ภายในประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่ขุดพบ ก่อสร้างเสร็จเมื่อวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2530 โดยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฏราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์มาประกอบพิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ขึ้นประดิษฐานไว้ในองค์พระธาตุนาดูน เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2530
         ที่ตั้ง : บ้านนาดูน เขตอำเภอนาดูน เป็นเขตที่มีการขุดพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์ โบราณคดีที่แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองในอดีต เพราะบริเวณนี้ได้เคยเป็นที่ตั้งของนครจำปาศรีมาก่อน โบราณวัตถุต่างๆ ที่ค้นพบได้นำไปแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจังหวัดขอนแก่น และที่สำคัญยิ่งก็คือการขุดพบสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุบรรจุในตลับทองคำ เงิน และสำริด ซึ่งสันนิษฐานว่ามีอายุอยู่ในพุทธศตวรรษที่ 13-15 สมัยทวาราวดี รัฐบาลจึงอนุมัติให้ดำเนินการก่อสร้างพระธาตุนาดูนขึ้นในเนื้อที่ 902 ไร่ โดยบริเวณรอบๆ จะมีพิพิธภัณฑ์ทางศาสนาและวัฒนธรรม สวนรุกขชาติ สวนสมุนไพร ซึ่งตกแต่งให้เป็นสถานที่สำคัญทางพุทธศาสนา

        การเดินทาง : จากตัวเมืองมหาสารคาม โดยใช้เส้นทางหมายเลข 2040 ผ่านอำเภอแกดำ อำเภอวาปีปทุม แล้วเลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 2045 ถึงอำเภอนาดูน ทางลาดยางตลอด ห่างจากตัวเมืองประมาณ 65 กิโลเมตร

แหล่งท่องเที่ยวใกล้เคียง
หอศิลป์จำปาศรี
  1. พิพิธภัณฑ์นครจำปาศรี จัดแสดงเรื่องราวความเป็นมาและพัฒนาการของเมืองโบราณนครจำปาศรี เมืองซึ่งมีความสำคัญในฐานะศูนย์กลางพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมในยุคทวาราวดี ยังมีเรื่องราวการค้นพบพระบรมสารีริกธาตุเป็นศูนย์กลางในการส่งเสิรมกิจการของพุทธศาสนาประจำภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือที่เรียกว่า พุทธมณฑลอีสาน เปิดให้เข้าชมวันจันทร์-วันเสาร์ เวลา 08.30-16.30 น.
  2. สถาบันวิจัยรุกขเวช ร่มรื่นด้วยพรรณไม้ ทั้งสวนสมุนไพร ลานไผ่ พิพิธภัณฑ์โรงเกวียนอีสาน พิพิธภัณฑ์เรือนอีสาน จำลองบ้านผู้ไทย บ้านประมง บ้านดนตรี บ้านเครื่อง มือดักสัตว์ บ้านผ้าทอ และบ้านหมอยา เปิดให้เข้าชมทุกวัน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 043-723539
  3. เขตห้ามล่าสัตว์ป่าดูนลำพัน แหล่งดูนกและศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศที่ดีอีกแห่งของอีสาน ทั้งยังเป็นถิ่นอาศัยของปูน้ำจืดที่สวยงาม ชาวบ้านเรียกว่า ปูแป้ง ต่อมา สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ ทรงพระราชทานชื่อ จึงเรียกว่า ปูทูลกระหม่อมปูชนิดนี้ตัวใหญ่กว่าปูนา ลำตัวมีหลากหลายสี ทั้งม่วง ส้ม เหลือง และขาว

แนะนำสถานที่พระธาตุนาดูน



6. สะพานไม้แกดำ

         ประวัติความเป็นมา
         ตามคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้าน ท่านเล่าว่าเดิมนั้นบริเวณหนองเป็นลำห้วย บริเวณหนองเป็นป่าชาวบ้านจึงสร้างทางเกวียนเพื่อใช้ในการสัญจรไปมา ในช่วงฤดูน้ำหลากมีน้ำขึ้นสูงไม่สามารถสัญจรไปมาได้ชาวบ้านจึงรวมตัวกันสร้างสะพานขึ้นมาเพื่อข้ามลำห้วย ซึ่งมีความยาว 20 เมตร กว้าง 4 เมตร แต่เมื่อมีการขุดคู กั้นน้ำทำเป็นอ่างเก็บน้ำทำให้มีน้ำขัง ชาวบ้านจึงมีการสร้างสะพานเล็ก ๆ ขึ้นมาเพื่อใช้สัญจรไปมา แต่ก็ยังไม่แล้วเสร็จดี ลักษณะของสะพานจะใช้ไม้เป็นลำวางไว้เท่านั้นและมีการคดเคี้ยวไปมาตามความตื้นของน้ำในหนอง

        ประโยชน์ : ส่วนใหญ่เพื่อใช้ในการเดินทางไปเรียนของนักเรียนที่เดินทางไปเรียนที่โรงเรียนแกดำอนุสรณ์และใช้ในการสัญจรไปมาของราษฎรที่เดินทางไปมาระหว่างบ้านแกดำกับบ้านหัวขัว
สะพานไม้ ยาวประมาณ 1 กิโลเมตร ทอดจากชายฝั่งหนองแกดำด้านวัดดาวดึงษ์แกดำ ไปยังหมู่บ้านหัวขัว คำว่า ขัว ภาษาอีสาน แปลว่า สะพาน บ้านหัวขัว คือบ้านหัวสะพาน ชื่อหมู่บ้านที่ตั้งมานี้น่าจะเป็นไปได้ว่า สะพานและหมู่บ้านสร้างขึ้นมาพร้อมๆ กันก็เป็นได้ สอบถามชาวบ้านที่หาปลาอยู่ในหนองแกดำ แกเล่าว่า เกิดมาก็เห็นสะพานอยู่แบบนี้มานานแล้ว คนแก่คนเฒ่าที่รู้จักในหมู่บ้านอายุ 80 กว่าปี ก็บอกว่าเกิดมาก็เห็นสะพานอยู่อย่างนี้แล้วเหมือนกัน แต่ถ้าถามถึงคนผู้สร้างสะพานล้วนล้มหายตายจากไปหมดแล้ว จึงประมาณอายุของสะพานได้น่าจะ 100 ปี สร้างขึ้นมาเพื่อใช้ในการไปมาหาสู่กันระหว่างคน 2 ฟากฝั่งหนอง
       หนองแกดำ หรือหนองน้ำอื่นๆ ในภาคอีสาน มีสภาพกว้างใหญ่ ลึกบ้างตื้นบ้างเป็นช่วงๆ เป็นแหล่งน้ำสำหรับการเกษตรที่สำคัญ และเป็นแหล่งในการหาปลาเพื่อเป็นอาหารและนำไปขาย สะพานไม้ที่สร้างขึ้นด้วยวิธีง่ายๆ ปักเสาลงไปในโคลนใต้น้ำจนถึงชั้นดิน ปูด้วยแผ่นไม้ที่พอจะหามาได้ คงจะแข็งแรงมั่นคงได้แค่ชั่วระยะเวลาไม่นาน ตอนนี้ถ้าลองไปเดินบนสะพานจะรู้สึกว่ามันโยกเยกเอาการน่าหวาดเสียว แต่ชาวบ้านก็ใช้สะพานนี้อยู่เป็นประจำ มีการซ่อมแซมบ้างเป็นครั้งคราวตามสภาพ เคยมีโครงการรื้อถอนเพื่อสร้างสะพานคอนกรีตจากทางจังหวัด เพื่อใช้เป็นเส้นทางสัญจรที่แข็งแรง และวางท่อประปาไปตามแนวสะพาน แต่ชาวบ้านอยากให้อนุรักษ์สะพานนี้ไว้ตามเดิม ตอนนี้มีคนรู้จักสะพานนี้กันมากขึ้นกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของมหาสารคาม ก็คงจะต้องคงสภาพสะพานไม้นี้ไว้ต่อไป

การเดินทาง : สะพานไม้แกดำ อยู่ด้านหลังวัดดาวดึงษ์แกดำ เวลาค้นใน Google Maps เจอแต่วัดดาวดึง แต่ก็คือที่เดียวกัน ในอำเภอแกดำ








7. พระพุทธมงคล พระพุทธมิ่งเมือง หรือ หลวงพ่อพระยืน

          เป็นพระพุทธรูปสมัยทวารวดีสร้างขึ้นด้วยหินทรายแดง เหมือนพระพุทธรูปยืนมงคล พระพุทธรูปทั้งสององค์นี้สร้างขึ้นในเวลาเดียวกันคือ เมื่ออำเภอกันทรวิชัยฝนแล้ง ผู้ชายสร้างพระพุทธรูปมิ่งเมือง ผู้หญิงสร้างพระพุทธรูปยืนมงคล เสร็จพร้อมกันแล้วทำการฉลองยางมโหฬาร ปรากฏว่าตั้งแต่ได้สร้างพระพุทธรูปทั้งสองค์แล้วฝนก็ตกต้องตามฤดูกาล พระพุทธรูปยืนมงคล ตั้งอยู่ที่ ม. 1 ต.โคกพระ อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม
          พระพุทธรูปทั้งสององค์ และพระพิมพ์กันทรวิชัย เป็นพระคู่บ้านคู่เมือง เป็นพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เคารพบูชาของชาวอำเภอกันทรวิชัย และชาวจังหวัดมหาสารคามทุกคน ไม่ว่าท่านจะกราบไหว้ขอพร หรือบนบานศาลกล่าว ก็จะได้สมใจนึกทุกประการ 
           ประวัติความเป็นมา : 
           พระพุทธมงคล พระพุทธมิ่งเมือง พระพุทธรูปยืนวัดสุวรรณาวาสอำเภอกันทรวิชัย มีเรื่องเล่าว่าถิ่นที่เป็นอำเภอกันทรวิชัยปัจจุบันนี้เดิมเป็นเมืองชื่อ เมืองคันธาร์ธิราช มีเจ้าเมืองขอมปกครอง ต่อมาได้กลายเป็นเมืองร้างเจ้าเมืองคันธาร์ธิราชองค์สุดท้ายชื่อ ท้าวลินทองหรือสิงห์โตดำ ท้าวสิงโตดำมีนิสัยโหดร้ายและได้แย่งราชสมบัติจากบิดาโดยจับขังและให้อด อาหารจนสิ้นชีวิตและสั่งให้ฆ่าพระมารดาที่พยายามแอบนำอาหารไปให้ ภายหลังท้าวสิงโตดำเมื่อได้ครองเมืองแล้วเกิดมีแต่ความร้อนรุ่มกระวนกระวาย โหรจึงแนะนำให้สร้างพระพุทธรูปเพื่อล้างบาป ท้าวสิงโตดำจึงได้สร้างพระพุทธรูปยืน ๒ องค์ องค์หนึ่งอยู่กลางเมืองเพื่อระลึกถึงพระบิดาปัจจุบันอยู่ที่วัดสุวรรณาวาส ใกล้ตลาดอำเภอกันทรวิชัยและอีกองค์หนึ่งอยู่นอกเมืองเพื่อระลึกถึงพระมารดา พระพุทธรูปยืนองค์นี้ปัจจุบันอยู่ใต้ต้นโพธิ์ในวัดพุทธมงคลบ้านสระ และเมื่อพระเจ้าสิงโตสิ้นชีวิตชาวเมืองได้นำไปฝังที่ป่านอกเมืองและสร้างพระ นอนเหนือหลุมฝังศพ ปัจจุบันเรียกว่า ดอนพระนอน กล่าวกันว่าผู้ใดพบเห็นพระนอนองค์นี้จะประสบโชคร้ายเนื่องจากกระแสแห่งความโหดร้ายของท้าวสิงโต ปัจจุบันนี้ไม่มีผู้ใดพบเห็นพระนอนองค์นี้อีกเลย..
         การเดินทาง : ไปตามเส้นทางมหาสารคาม-อำเภอกันทรวิชัยกาฬสินธุ์ วัดพุทธมงคล และพระพุทธรูปยืนมงคล จะอยู่ขวามือถ้าเรามุ่งหน้าไปกาฬสินธุ์ จะอยู่ก่อนถึงอำเภอกันทรวิชัย
        
และเมื่อเดินทางโดยใช้เส้นทางเดิม เข้าอำเภอกันทรวิชัย พระพุทธรูปมิ่งเมือง หรือพระพุทธรูปสุวรรณมาลี และวัดสุวรรณาวาส จะอยู่ซ้ายมือ ใกล้ตลาดอำเภอกันทรวิชัย
 

8. อุทยานมัจฉะโขงกุดหวาย


อุทยานมัจฉาโขงกุดหวาย เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์เชิงชนบทโดยได้รับการประกาศเป็นแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดมหาสารคามเมื่อปี 2540 เนื่องจากแหล่งท่องเที่ยวแห่งนี้มีฝูงปลาหลายร้อยชนิดที่มาจากแม่น้ำชีได้ทะลักเข้ามาอยู่ตั้งแต่ตัวเล็ก และส่วนมากจะเป็นปลาเผาะซึ่งเป็นปลาเนื้ออ่อน ต้นตระกูลของปลานี้จะอยู่ในแม่น้ำโขง ชาวบ้านส่วนใหญ่อนุรักษ์ไว้เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มาดูและศึกษาชนิดพันธุ์ปลาต่าง ๆเหล่านี้

ที่ตั้ง : อยู่บ้านโขงกุดหวาย หมู่ที่ 7 ตำบลเกิ้ง อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม หางจากเขตเทศบาลเมืองมหาสารคาม 6 กิโลเมตร ตามเส้นทางมหาสารคาม มุกดาหารบริเวณอุทยานตั้งอยู่ในกุดหวาย
คำว่ากุด หมายถึง ทางน้ำทีแม่น้ำเปลี่ยนทางเดินเป็นเวลานาน บริเวณกุดหวายทีว่านี้ เดิมต้นหวายเกิดล้อมรอบ สวนตรงเนินกลางกุดมีหญ้าคา หญ้าแฝกงอกงามมากตรงบริเวณหัวคุ้งน้ำ พระครูพิทักษ์โกสุมพิสัย (ญาครูโม่ง) เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ศรีได้ไปตั้งสำนักสงฆ์เพื่อเป็นสวนหญ้า สำหรับเกี่ยวมามุงศาสนสถานในสมัยโบราณ ปัจจุบันบริเวณนี้ชาวบ้านได้ตั้งเป็นวัดชื่อ พิทักษ์สามัคคีโพธิ์ศรี 2


           ประวัติความเป็นมา :
เมื่อพุทธศักราช 2537 ศูนย์บริการเกษตรกรรมเคลื่อนที่และกรมชลประทาน ได้ขุดลอกเป็นคุ้งน้ำตามแนวเดิมทีกว้างที่สุดประมาณ 120 เมตร ลึกจากผิวดิน 10 เมตร โค้งเป็นรูปเกือกมายาวประมาณ 800 เมตร มีความจุน้ำประมาณ 96,000 ลูกบาศก์เมตร ด้านทิศตะวันตกมีทางน้ำธรรมชาติ ไหลล้นลงลำน้ำรอบกุดด้านทิศเหนือมีหมู่บ้านโขงกุดหวายตั้งอยู่ ประชากรเป็นคนไทยลาวและไทยโครา
 พุทธศักราช 2537 ประมาณเดือนตุลาคมเกิดน้ำหลากท่วมสองฝังลำน้ำชีทะลักเข้าโขงกุดหวาย และไหลลงแม่น้ำมูล แม่น้ำโขงตามลำดับ ฝูงปลาเผาะ เป็นตระกูลปลาสวายชาวอีสานบางส่วนเรียกว่าปลาซวย ปลาวังก็มี สำหรับปลาเผาะนี้อาศัยอยู่ตามแม่น้ำโขง และปากแม่น้ำสาขาของแม่น้ำโขง เช่น ปากแม่น้ำมูล ได้รวมกันเป็นฝูงว่ายทวนกระแสน้ำขึ้นมา ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน อาจเป็นเพราะว่าแก่งตะนะ ซึ่งเป็นแก่งและซอกหินที่เคยอาศัย ถูกระเบิดเพื่อสร้างเขื่อนปากมูล ปลาเหล่านี้ไม่มีที่อาศัยจึงแตกตื่นทวนกระแสน้ำขึ้นมารวมกับปลาเลี้ยงทีน้ำท่วมบ่อ เช่น ปลาตะเพียน ยี่สก นิล ไน ได้มารวมกันอยู่ ในโขงกุดหวายจำนวนมาก โดยเฉพาะปลาเผาไม่มากกว่าชนิดอื่น และเป็นปลาขนาดใหญ่ปัจจุบันลำตัวยาวประมาณ 2 ศอก ชอบว่ายเหนือน้ำตามกินอาหารจากคนไปเทียวชม

เมื่อรวมปลาชนิดต่าง ๆ แล้วมีประมาณหลายแสนตัว ชาวบ้านถือเป็นโอกาสดี จึงร่วมกันปิดกั้นทางน้ำมิให้ไหลลงลำน้ำชี ต่อมาทางราชการได้เสริมคันดินให้แข็งแรงโดยมีความยาว 30 เมตร สันคันดินกว้าง 8 เมตร และร่วมกันตั้งชื่อว่า อุทยานมัจฉา การดำเนินงานในอุทยานใช้วัฒนธรรมนำการพัฒนา ทุกคนในหมู่บ้านร่วมมือกันโดยมีวัดในพุทธศาสนาเป็น ศูนย์กลาง

ภายในวัดก็จะมีสัตว์ที่ชาวบ้านนำมาวัดช่วยเลี้ยง ไม่ว่าจะเป็น ปลาชนิดต่างๆ  เต่า  ลิง  กระต่าย นก และหนูตะเพา หมา วัว แพะ ฯลฯ และยังมี พิพิธภัณฑ์บ้านอีสาน อีกด้วย และได้จัดทำโครงการอนุรักษ์ปลาหน้าวัด เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฉลองสิริราชสมบัติครบ 50ปี ห้ามจับสัตว์น้ำ หรือทำการประมงในที่รักษาพืชพันธ์ ผู้ฝ่าฝืนต้องรับโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ
ภายในอุทยานแห่งนี้ มีร้านจำหน่ายอาหารปลา มีสะพานไม้ ขนาดกว้าง 1 เมตร 60 เซนติเมตร ยาว 83 เมตร ข้ามคุ้งน้ำไปบริเวณวัด และใช้เป็นสถานที่ให้อาหารปลาและชมปลาได้ด้วย มีซุ้มริมฝั่งน้ำ 4 ซุ้ม แพลอยน้ำขนาด 3 x 5.50 เมตร จำนวน 10 แพ ให้นักท่องเที่ยวรับประทานอาหารและชมปลา เป็นแหล่งท่องเที่ยวทีมีประชาชนไปเที่ยวจำนวนมาก ทุกวัน
          การเดินทาง : ออกจากศาลากลางจังหวัดมหาสารคาม มุ่งหน้าไปทางตะวันออกใช้ถนนหมายเลข 2040 ไปทางนครสวรรค์ มุ่งไปตำบลตลาด เดินทางต่อไปยังถนนหมายเลข 2367 เลี้ยวขวาเข้าสู่ถนน2367 ตรงไปเรื่อยๆจะเจอสามแยกเขียนว่า หมู่บ้านท่องเที่ยวเลี้ยวซ้ายไปตามทางประมาณ 3 กิโลเมตร จะเจออุทยานวังมัจฉาซอยเล็กๆ ฝั่งซ้ายมือ


          

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เรียนที่ไหนดี

สถานที่สำคัญในมหาวิทยาลัยมหาสารคาม

สาขาการจัดการการประกอบการ (ENT)