สถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดในมหาสารคาม
แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าเที่ยวที่สุด...
8 แห่ง ในจังหวัดมหาสารคาม
.........................................................................................................................................
นี้คือเว็บไซต์แนะนำการท่องเที่ยวอันแรกที่ได้ทำ เลยอยากรีวิวสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดมหาสารคามแล้วกันนะคะ สถานที่ท่องเที่ยวที่คนในจังหวัดรู้จักกันเป็นอย่างดี และที่ที่ชอบไปมากที่สุดตั้งแต่เล็กจนโตและประทับใจทุกครั้งที่ได้ไป เย็นสบาย ร่มรื่น เงียบสงบทำให้รู้สึกผ่อนคลายในสถานที่ท่องเที่ยวนี้มี ดังนี้
1. วนอุทยานโกสัมพี
ที่ตั้ง : เป็นที่สาธารณะประโยชน์อยู่ติดกับหมู่บ้านคุ้มกลาง
หมู่ที่ 1 ตำบลหัวขวาง ในเขตสุขาภิบาล อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม
ป่าหนองบุ้งอยู่ห่างจากอำเภอโกสุมพิสัยประมาณ 500 เมตร มีเนื้อที่ประมาณ 125 ไร่
โดยส่วนอุทยานแห่งชาติเริ่มเข้าดำเนินการจัดตั้งเป็นวนอุทยานเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม
2519 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน โดยมีชื่อว่า วนอุทยานโกสัมพี
ประวัติความเป็นมา :
ป่าหนองบุ้งเป็นป่าดงดิบตามธรรมชาติและมีศาลเจ้าปู่
ซึ่งเป็นที่เคารพบูชานับถือของชาวบ้านท้องถิ่นเป็นคู่บ้านคู่เมืองของชาวอำเภอโกสุมพิสัยมาตั้งแต่เดิม
และจากการบอกเล่าของราษฎรผู้สูงอายุทั่วไปในท้องถิ่นว่า ไม่มีผู้ใดทราบว่าใครเป็นผู้สร้างศาลาเจ้าปู่หรือศาลเจ้าปู่ตาคนแรก
แต่ศาลเจ้าปู่ได้มีการก่อสร้างบูรณะเพิ่มเติมให้อยู่ในสภาพดีเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
และยังเป็นป่าดงดิบตามธรรมชาติที่อยู่ใกล้ชุมชนที่สุดแห่งหนึ่งและยังมีลิงวอกอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
ซึ่งเป็นลิงวอกชนิดเดียวกับลิงวอกที่อยู่ในศาลพระกาฬ จังหวัดลพบุรี
ต่อมากรมป่าไม้จึงได้ทำการสำรวจพื้นที่และจัดตั้งเป็นวนอุทยาน ซึ่งมีชื่อว่า
วนอุทยานโกสัมพี เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2519
เพื่อนุรักษ์ทรัพยากร-ธรรมชาติไว้เพื่อศึกษาและเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของประชาชนทั่วไป
ชนิดสัตว์ป่า
การเดินทาง : ไปวนอุทยานโกสัมพี อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม นั้นสะดวกสบายมากที่สุด คือไปตามเส้นทางหลวงหมายเลข 208 จังหวัดมหาสารคาม ไปตำบลท่าพระ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ประมาณ 28 กิโลเมตร ก็จะถึงวนอุทยานโกสัมพี อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม หรือจะเดินทางจากตำบลท่าพระ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่นก็ได้ ระยะทางประมาณ 28 กิโลเมตรเช่นกัน
สถานที่น่าสนใจในวนอุทยาน
- แก่งตาด เป็นหินดินดานที่มีบริเวณกว้างอยู่ในลำน้ำชี ตั้งอยู่ด้านทิศเหนือและทิศตะวันออกของวนอุทยานโกสัมพี ในช่วงฤดูแล้งระหว่างเดือนพฤศจิกายน-พฤษภาคม น้ำตื้นมองเห็นหินดินดาน ที่มีน้ำไหลกระทบเป็นฟองคลื่นขาวสะอาดตาและบริเวณที่ติดต่อกับริมฝั่งลำน้ำชีก็มีทัศนียภาพที่สวยงามเช่นกัน
- ลานข่อย เป็นลานต้นข่อยที่มีอยู่เดิมตามธรรมชาติ ตกแต่งเป็นไม้แคระรูปต่างๆ มากกว่า 200 ต้น
- ลิงแสม เป็นสัตว์ประจำถิ่นของป่าแห่งนี้มี 2 พันธุ์ คือ ลิงแสมสีเทาและลิงแสมสีทอง
- พระมิ่งเมือง เป็นพระพุทธรูปแกะสลักจากหินสิลาแลงตอนค้นพบมีสภาพชำรุดทรุดโทรมมากโดยเศียรและส่วนบนของอค์พระได้หายไป ต่อมาเมื่อชาวโกสุมพิสัยได้มาสร้างบ้านแปรงเมืองขึ้น ณ จุดนี้ จึงได้ทำการบูรณะและสร้างมณฑปถวาย ปัจจุบันพระพุทธรูปองค์นี้ประดิษฐานอยู่ที่ด้านหน้าวัดกลางโกสุม ก่อนถึงทางเข้าวนอุทยานโกสัมพีเพียงไม่กี่สิบเมตร เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของชาวเมืองโกสุมพิสัย
ดูลิง โกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม
2. บึงบอน
ที่ตั้ง : ตำบลหัวขวาง อำเภอโกสุมพิสัย ซึ่งอยู่ถัดจากวนอุทยานโกสัมพีไปประมาณ 100 เมตร หรือห่างจากตัวอำเภอโกสุมพิสัยประมาณ 2 กม. บึงบอนเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่มีเนื้อที่ 120 ไร่ ความลึกของบึงประมาณ 2.50 เมตร และมีถนนรอบบึงซึ่งได้รับงบพัฒนาฯ จาก ททท. โดยมีความกว้าง 5 เมตร ยาว 2,689 เมตร นับว่าเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจอีกแห่งหนึ่ง การเดินทางสามารถ ใช้เส้นทางเดียวกันกับวนอุทยานโกสัมพี.
การเดินทาง : โดยรถยนต์
: จากตัวเมืองใช้เส้นทางหมายเลข 208ประมาณ 28 กิโลเมตร
ถึงสี่แยกโกสุมพิสัย ตรงเข้าทางลาดยาง 450 เมตร
สวนธารณะบึงบอน
ภาพภูมิทัศน์ของบึงบอน
: ภูมิทัศน์
บริเวณถนนรอบๆ บึงบอน ซึ่งเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจอีกแห่งหนึ่ง ของ
จังหวัดมหาสารคาม
3. บึงกุย หรือ สะดืออีสาน
ที่ตั้ง : หมู่ที่ 13 ตำบลหัวขวาง อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม 44140 บึงกุยเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่
ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ของ ตำบลหัวขวาง ตำบลแก้งแก และตำบลเหล่า อำเภอโกสุมพิสัย
จังหวัดมหาสารคาม และเป็นสะดืออีสาน มีสิ่งก่อสร้างที่มีสัญลักษณ์ของสะดืออีสาน
มีพื้นที่ 2,750 ไร่ จุน้ำได้ 4.3 ล้านลูกบาศก์เมตร
การเดินทาง : จากอำเภอเมืองมหาสารคาม
ใช้เส้นทางมหาสารคาม - โกสุมพิสัย สะดืออีสานจะอยู่ฝั่งซ้ายมือ ก่อนถึงตัวอำเภอโกสุมพิสัย สามารถเดินทางมาโดย 1. รถยนต์ส่วนตัว 2. รถโดยสารปรับอากาศประจำทางชั้น 2 สายขอนแก่น - โกสุมพิสัย - มหาสารคาม
(รถสีบานเย็นคาดขาว)

ทั้งนี้ สะดืออีสานแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เป็นสัญลักษณ์ที่เปรียบเสมือนเป็นจุดพิกัดกึ่งกลางของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักนิยมเดินทางมาเก็บภาพประทับใจ เพื่อเป็นการบันทึกความทรงจำว่าครั้งหนึ่งได้เคยมายืนอยู่ ณ ศูนย์กลางของภาคอีสานแล้ว

"บึงกุย" หมายความว่า หนองน้ำที่มีกลิ่นเหม็นคาวปลา เนื่องจากมีปลาและสัตว์อาศัยอยู่หนาแน่มาก เกิดกลิ่นเหม็นคาว เลยทำให้น้ำเน่าเหม็น จึงเรียก "บึงกุย" ซึ่งบ่งบอกถึงความอุดมสมบรูณ์ ชาวบ้านในเขตอำเภอโกสุมพิสัยและอำเภอใกล้เคียงได้อาศัยบึงกุยเป็นแหล่งทำมาหากิน โดยเฉพาะการประมง มีการจับปลาจากบึงกุยมาขาย แลกเปลี่ยนเป็นอาชีพหลักและอาชีพรอง ถือเป็นแหล่งสร้างรายได้ให้แก่คนในชุมชนโดยรอบ
ทางเข้าไปสะดืออีสานยังมีจุดให้ถ่ายภาพสวยๆ หลายๆมุม ซึ่งเป็นที่คนนิยมมามากรองจากวนอุ
ทยานโกสัมพี บรรยากาศเย็นสบาย เงียบสงบ และขอบอกว่าใครได้มาจะถือว่าคุ้มมาก เป็นที่นิยมหรับหรับทุกวัยเพราะมีจุดถ่ายภาพมากมาย หรือจะพาครอบครัวมาเปลี่ยนบรรยากาศได้ เวลาที่คนนิยมมักจะเป็นช่วงเย็น เวลา 16.00 - 18.00 คนจะเยอะมากเพราะช่วงเวลานี้ถ่ายภาพสวยและอากาศเย็นดี
สะดืออีสาน อ.โกสุมพิสัย
4. หาดวังโก
ที่ตั้ง
: หาดวังโก บ้านท่าเดื่อ ต.หนองบอน โกสุมพิสัย มหาสารคาม 44140
หาดวังโก เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจแห่งหนึ่งในอำเภอโกสุมพิสัย
จังหวัดมหาสารคาม ที่เพิ่งพัฒนาเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ตั้งอยู่ที่อำเภอ ท่าเดื่อ ต.หนองบอน อ.โกสุมพิสัย จ.มหาสารคาม เปิดบริการ 08.00 น. – 18.00 น. ทุกวัน
ลักษณะเป็นทะเลน้ำจืดขนาดใหญ่
สำหรับครอบครัวที่มีลูกหลานจะพาเด็กๆมาเล่นเครื่องเล่นต่าง ๆ มาก เช่น
บานาน่าโบ๊ท โดนัทสกี ยังมีเปลชายหาดและร่มไว้สำหรับนอนพักตากอากาศ อาบแดด
มีร้านอาหารต่าง ๆ หลายร้านด้วยกัน ภูมิทัศน์ บริเวณถนนรอบๆ หาดวังโก
ซึ่งเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจอีกแห่งหนึ่ง ของ จังหวัดมหาสารคาม
การเดินทาง : ไปตามเส้นทางมหาสารคาม-โกสุมพิสัย –ขอนแก่น หาดวังโก จะอยู่ขวามือถ้าเรามุ่งหน้าไปขอนแก่นออกจากโกสุมมาได้ไม่ไกลนัก
5.พระธาตุนาดูน หรือ พุทธมณฑลแห่งอีสาน
ประวัติความเป็นมา :
เมื่อปี พ.ศ. 2522 ที่บ้านนาดูน มีการขุดพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์โบราณคดีที่แสดงว่า บริเวณแห่งนี้เคยเป็นศูนย์กลางความเจริญรุ่งเรื่องของนครจำปาศรี เมืองโบราณในอดีต โบราณวัตถุต่างๆ ที่ค้นพบ ได้นำไปแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจังหวัดขอนแก่น และที่สำคัญยิ่งก็คือการพบสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุบรรจุในตลับทองคำ เงิน และสำริด สันนิษฐานว่ามีอายุอยู่ในพุทธศตวรรษที่ 13 – 15 สมัยทวาราวดี นอกจากนี้ยังพบพระพุทธรูป พระพิมพ์ลายหลายแบบจำนวนมาก
เมื่อปี พ.ศ. 2522 ที่บ้านนาดูน มีการขุดพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์โบราณคดีที่แสดงว่า บริเวณแห่งนี้เคยเป็นศูนย์กลางความเจริญรุ่งเรื่องของนครจำปาศรี เมืองโบราณในอดีต โบราณวัตถุต่างๆ ที่ค้นพบ ได้นำไปแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจังหวัดขอนแก่น และที่สำคัญยิ่งก็คือการพบสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุบรรจุในตลับทองคำ เงิน และสำริด สันนิษฐานว่ามีอายุอยู่ในพุทธศตวรรษที่ 13 – 15 สมัยทวาราวดี นอกจากนี้ยังพบพระพุทธรูป พระพิมพ์ลายหลายแบบจำนวนมาก
สถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่ค้นพบทำด้วยทองสำริด แยกเป็น 2 ส่วน คือ
1. ตัวสถูปหรือองค์ระฆัง แบ่งออกเป็น 2 ตอน คือ ตัวสถูปเป็นส่วนที่บรรจุ พระอังคาร (ขี้เถ้า) เทียนดอกไม้ และตอนคอสถูปเป็นส่วนที่บรรจุผอบพระบรมสารีริกธาตุ โดยผอบจะบรรจุพร้อมกัน 3 ชั้น คือ ผอบทองคำ จะซ้อนอยู่ในผอบเงิน ผอบเงินจะซ้อนอยู่ในผอบทองสำริด ทุกผอบมีฝาปิดมิดชิด ภายในผอบทองคำมีพระบรมสารีริกธาตุบรรจุ 1 องค์ มีลักษณะเป็นเกล็ดสีขาวขุ่นขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารหักครึ่ง หล่อเลี้ยงไว้ด้วยน้ำมันจันทน์เมื่อเปิดออกมาจะมีกลิ่นหอมมาก
2. ส่วนยอดทำด้วยทองสำริดกลมตัน ทำเป็นปล้องไฉนลูกแก้วและปลียอด ตอนต้นทำเป็นเกลียวสามารถปิดประกอบกับส่วนตัวองค์สถูปได้พอดี
ต่อมารัฐบาลอนุมัติให้ดำเนินการก่อสร้างพระธาตุนาดูนขึ้นในบริเวณที่ขุดพบสถูป เนื้อที่ 902 ไร่ โดยใช้สถูปที่ค้นพบมาเป็นแบบในการก่อสร้างพระธาตุนาดูน องค์พระธาตุมีความสูง 50.50 เมตร จำลองรูปทรงแบบสมัยทวารวดี ภายในประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่ขุดพบ ก่อสร้างเสร็จเมื่อวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2530 โดยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฏราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์มาประกอบพิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ขึ้นประดิษฐานไว้ในองค์พระธาตุนาดูน เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2530
ที่ตั้ง : บ้านนาดูน
เขตอำเภอนาดูน เป็นเขตที่มีการขุดพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์
โบราณคดีที่แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองในอดีต
เพราะบริเวณนี้ได้เคยเป็นที่ตั้งของนครจำปาศรีมาก่อน โบราณวัตถุต่างๆ ที่ค้นพบได้นำไปแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจังหวัดขอนแก่น
และที่สำคัญยิ่งก็คือการขุดพบสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุบรรจุในตลับทองคำ เงิน
และสำริด ซึ่งสันนิษฐานว่ามีอายุอยู่ในพุทธศตวรรษที่ 13-15 สมัยทวาราวดี
รัฐบาลจึงอนุมัติให้ดำเนินการก่อสร้างพระธาตุนาดูนขึ้นในเนื้อที่ 902 ไร่ โดยบริเวณรอบๆ จะมีพิพิธภัณฑ์ทางศาสนาและวัฒนธรรม
สวนรุกขชาติ สวนสมุนไพร ซึ่งตกแต่งให้เป็นสถานที่สำคัญทางพุทธศาสนา
การเดินทาง : จากตัวเมืองมหาสารคาม
โดยใช้เส้นทางหมายเลข 2040 ผ่านอำเภอแกดำ
อำเภอวาปีปทุม แล้วเลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 2045 ถึงอำเภอนาดูน
ทางลาดยางตลอด ห่างจากตัวเมืองประมาณ 65 กิโลเมตร
แหล่งท่องเที่ยวใกล้เคียง
![]() |
หอศิลป์จำปาศรี |
- พิพิธภัณฑ์นครจำปาศรี จัดแสดงเรื่องราวความเป็นมาและพัฒนาการของเมืองโบราณนครจำปาศรี เมืองซึ่งมีความสำคัญในฐานะศูนย์กลางพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมในยุคทวาราวดี ยังมีเรื่องราวการค้นพบพระบรมสารีริกธาตุเป็นศูนย์กลางในการส่งเสิรมกิจการของพุทธศาสนาประจำภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือที่เรียกว่า พุทธมณฑลอีสาน เปิดให้เข้าชมวันจันทร์-วันเสาร์ เวลา 08.30-16.30 น.
- สถาบันวิจัยรุกขเวช ร่มรื่นด้วยพรรณไม้ ทั้งสวนสมุนไพร ลานไผ่ พิพิธภัณฑ์โรงเกวียนอีสาน พิพิธภัณฑ์เรือนอีสาน จำลองบ้านผู้ไทย บ้านประมง บ้านดนตรี บ้านเครื่อง มือดักสัตว์ บ้านผ้าทอ และบ้านหมอยา เปิดให้เข้าชมทุกวัน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 043-723539
- เขตห้ามล่าสัตว์ป่าดูนลำพัน แหล่งดูนกและศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศที่ดีอีกแห่งของอีสาน ทั้งยังเป็นถิ่นอาศัยของปูน้ำจืดที่สวยงาม ชาวบ้านเรียกว่า ปูแป้ง ต่อมา สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ ทรงพระราชทานชื่อ จึงเรียกว่า “ปูทูลกระหม่อม” ปูชนิดนี้ตัวใหญ่กว่าปูนา ลำตัวมีหลากหลายสี ทั้งม่วง ส้ม เหลือง และขาว
แนะนำสถานที่พระธาตุนาดูน
6. สะพานไม้แกดำ
ประวัติความเป็นมา :
ตามคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้าน ท่านเล่าว่าเดิมนั้นบริเวณหนองเป็นลำห้วย บริเวณหนองเป็นป่าชาวบ้านจึงสร้างทางเกวียนเพื่อใช้ในการสัญจรไปมา ในช่วงฤดูน้ำหลากมีน้ำขึ้นสูงไม่สามารถสัญจรไปมาได้ชาวบ้านจึงรวมตัวกันสร้างสะพานขึ้นมาเพื่อข้ามลำห้วย ซึ่งมีความยาว 20 เมตร กว้าง 4 เมตร แต่เมื่อมีการขุดคู กั้นน้ำทำเป็นอ่างเก็บน้ำทำให้มีน้ำขัง ชาวบ้านจึงมีการสร้างสะพานเล็ก ๆ ขึ้นมาเพื่อใช้สัญจรไปมา แต่ก็ยังไม่แล้วเสร็จดี ลักษณะของสะพานจะใช้ไม้เป็นลำวางไว้เท่านั้นและมีการคดเคี้ยวไปมาตามความตื้นของน้ำในหนอง
ตามคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้าน ท่านเล่าว่าเดิมนั้นบริเวณหนองเป็นลำห้วย บริเวณหนองเป็นป่าชาวบ้านจึงสร้างทางเกวียนเพื่อใช้ในการสัญจรไปมา ในช่วงฤดูน้ำหลากมีน้ำขึ้นสูงไม่สามารถสัญจรไปมาได้ชาวบ้านจึงรวมตัวกันสร้างสะพานขึ้นมาเพื่อข้ามลำห้วย ซึ่งมีความยาว 20 เมตร กว้าง 4 เมตร แต่เมื่อมีการขุดคู กั้นน้ำทำเป็นอ่างเก็บน้ำทำให้มีน้ำขัง ชาวบ้านจึงมีการสร้างสะพานเล็ก ๆ ขึ้นมาเพื่อใช้สัญจรไปมา แต่ก็ยังไม่แล้วเสร็จดี ลักษณะของสะพานจะใช้ไม้เป็นลำวางไว้เท่านั้นและมีการคดเคี้ยวไปมาตามความตื้นของน้ำในหนอง
ประโยชน์ : ส่วนใหญ่เพื่อใช้ในการเดินทางไปเรียนของนักเรียนที่เดินทางไปเรียนที่โรงเรียนแกดำอนุสรณ์และใช้ในการสัญจรไปมาของราษฎรที่เดินทางไปมาระหว่างบ้านแกดำกับบ้านหัวขัว
สะพานไม้
ยาวประมาณ 1 กิโลเมตร ทอดจากชายฝั่งหนองแกดำด้านวัดดาวดึงษ์แกดำ ไปยังหมู่บ้านหัวขัว
คำว่า ขัว ภาษาอีสาน แปลว่า สะพาน บ้านหัวขัว คือบ้านหัวสะพาน
ชื่อหมู่บ้านที่ตั้งมานี้น่าจะเป็นไปได้ว่า สะพานและหมู่บ้านสร้างขึ้นมาพร้อมๆ
กันก็เป็นได้ สอบถามชาวบ้านที่หาปลาอยู่ในหนองแกดำ แกเล่าว่า เกิดมาก็เห็นสะพานอยู่แบบนี้มานานแล้ว
คนแก่คนเฒ่าที่รู้จักในหมู่บ้านอายุ 80 กว่าปี
ก็บอกว่าเกิดมาก็เห็นสะพานอยู่อย่างนี้แล้วเหมือนกัน
แต่ถ้าถามถึงคนผู้สร้างสะพานล้วนล้มหายตายจากไปหมดแล้ว
จึงประมาณอายุของสะพานได้น่าจะ 100 ปี
สร้างขึ้นมาเพื่อใช้ในการไปมาหาสู่กันระหว่างคน 2 ฟากฝั่งหนอง
หนองแกดำ หรือหนองน้ำอื่นๆ
ในภาคอีสาน มีสภาพกว้างใหญ่ ลึกบ้างตื้นบ้างเป็นช่วงๆ
เป็นแหล่งน้ำสำหรับการเกษตรที่สำคัญ
และเป็นแหล่งในการหาปลาเพื่อเป็นอาหารและนำไปขาย
สะพานไม้ที่สร้างขึ้นด้วยวิธีง่ายๆ ปักเสาลงไปในโคลนใต้น้ำจนถึงชั้นดิน ปูด้วยแผ่นไม้ที่พอจะหามาได้
คงจะแข็งแรงมั่นคงได้แค่ชั่วระยะเวลาไม่นาน
ตอนนี้ถ้าลองไปเดินบนสะพานจะรู้สึกว่ามันโยกเยกเอาการน่าหวาดเสียว
แต่ชาวบ้านก็ใช้สะพานนี้อยู่เป็นประจำ มีการซ่อมแซมบ้างเป็นครั้งคราวตามสภาพ
เคยมีโครงการรื้อถอนเพื่อสร้างสะพานคอนกรีตจากทางจังหวัด
เพื่อใช้เป็นเส้นทางสัญจรที่แข็งแรง และวางท่อประปาไปตามแนวสะพาน
แต่ชาวบ้านอยากให้อนุรักษ์สะพานนี้ไว้ตามเดิม
ตอนนี้มีคนรู้จักสะพานนี้กันมากขึ้นกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของมหาสารคาม
ก็คงจะต้องคงสภาพสะพานไม้นี้ไว้ต่อไป
การเดินทาง : สะพานไม้แกดำ อยู่ด้านหลังวัดดาวดึงษ์แกดำ เวลาค้นใน Google Maps เจอแต่วัดดาวดึง แต่ก็คือที่เดียวกัน ในอำเภอแกดำ
7. พระพุทธมงคล พระพุทธมิ่งเมือง หรือ หลวงพ่อพระยืน
เป็นพระพุทธรูปสมัยทวารวดีสร้างขึ้นด้วยหินทรายแดง
เหมือนพระพุทธรูปยืนมงคล พระพุทธรูปทั้งสององค์นี้สร้างขึ้นในเวลาเดียวกันคือ
เมื่ออำเภอกันทรวิชัยฝนแล้ง ผู้ชายสร้างพระพุทธรูปมิ่งเมือง
ผู้หญิงสร้างพระพุทธรูปยืนมงคล เสร็จพร้อมกันแล้วทำการฉลองยางมโหฬาร
ปรากฏว่าตั้งแต่ได้สร้างพระพุทธรูปทั้งสองค์แล้วฝนก็ตกต้องตามฤดูกาล
พระพุทธรูปยืนมงคล ตั้งอยู่ที่ ม. 1 ต.โคกพระ อ.กันทรวิชัย
จ.มหาสารคาม
พระพุทธรูปทั้งสององค์ และพระพิมพ์กันทรวิชัย เป็นพระคู่บ้านคู่เมือง
เป็นพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เคารพบูชาของชาวอำเภอกันทรวิชัย
และชาวจังหวัดมหาสารคามทุกคน ไม่ว่าท่านจะกราบไหว้ขอพร หรือบนบานศาลกล่าว
ก็จะได้สมใจนึกทุกประการ
ประวัติความเป็นมา :
พระพุทธมงคล พระพุทธมิ่งเมือง พระพุทธรูปยืนวัดสุวรรณาวาสอำเภอกันทรวิชัย มีเรื่องเล่าว่าถิ่นที่เป็นอำเภอกันทรวิชัยปัจจุบันนี้เดิมเป็นเมืองชื่อ เมืองคันธาร์ธิราช มีเจ้าเมืองขอมปกครอง ต่อมาได้กลายเป็นเมืองร้างเจ้าเมืองคันธาร์ธิราชองค์สุดท้ายชื่อ ท้าวลินทองหรือสิงห์โตดำ ท้าวสิงโตดำมีนิสัยโหดร้ายและได้แย่งราชสมบัติจากบิดาโดยจับขังและให้อด อาหารจนสิ้นชีวิตและสั่งให้ฆ่าพระมารดาที่พยายามแอบนำอาหารไปให้ ภายหลังท้าวสิงโตดำเมื่อได้ครองเมืองแล้วเกิดมีแต่ความร้อนรุ่มกระวนกระวาย โหรจึงแนะนำให้สร้างพระพุทธรูปเพื่อล้างบาป ท้าวสิงโตดำจึงได้สร้างพระพุทธรูปยืน ๒ องค์ องค์หนึ่งอยู่กลางเมืองเพื่อระลึกถึงพระบิดาปัจจุบันอยู่ที่วัดสุวรรณาวาส ใกล้ตลาดอำเภอกันทรวิชัยและอีกองค์หนึ่งอยู่นอกเมืองเพื่อระลึกถึงพระมารดา พระพุทธรูปยืนองค์นี้ปัจจุบันอยู่ใต้ต้นโพธิ์ในวัดพุทธมงคลบ้านสระ และเมื่อพระเจ้าสิงโตสิ้นชีวิตชาวเมืองได้นำไปฝังที่ป่านอกเมืองและสร้างพระ นอนเหนือหลุมฝังศพ ปัจจุบันเรียกว่า ดอนพระนอน กล่าวกันว่าผู้ใดพบเห็นพระนอนองค์นี้จะประสบโชคร้ายเนื่องจากกระแสแห่งความโหดร้ายของท้าวสิงโต ปัจจุบันนี้ไม่มีผู้ใดพบเห็นพระนอนองค์นี้อีกเลย..
พระพุทธมงคล พระพุทธมิ่งเมือง พระพุทธรูปยืนวัดสุวรรณาวาสอำเภอกันทรวิชัย มีเรื่องเล่าว่าถิ่นที่เป็นอำเภอกันทรวิชัยปัจจุบันนี้เดิมเป็นเมืองชื่อ เมืองคันธาร์ธิราช มีเจ้าเมืองขอมปกครอง ต่อมาได้กลายเป็นเมืองร้างเจ้าเมืองคันธาร์ธิราชองค์สุดท้ายชื่อ ท้าวลินทองหรือสิงห์โตดำ ท้าวสิงโตดำมีนิสัยโหดร้ายและได้แย่งราชสมบัติจากบิดาโดยจับขังและให้อด อาหารจนสิ้นชีวิตและสั่งให้ฆ่าพระมารดาที่พยายามแอบนำอาหารไปให้ ภายหลังท้าวสิงโตดำเมื่อได้ครองเมืองแล้วเกิดมีแต่ความร้อนรุ่มกระวนกระวาย โหรจึงแนะนำให้สร้างพระพุทธรูปเพื่อล้างบาป ท้าวสิงโตดำจึงได้สร้างพระพุทธรูปยืน ๒ องค์ องค์หนึ่งอยู่กลางเมืองเพื่อระลึกถึงพระบิดาปัจจุบันอยู่ที่วัดสุวรรณาวาส ใกล้ตลาดอำเภอกันทรวิชัยและอีกองค์หนึ่งอยู่นอกเมืองเพื่อระลึกถึงพระมารดา พระพุทธรูปยืนองค์นี้ปัจจุบันอยู่ใต้ต้นโพธิ์ในวัดพุทธมงคลบ้านสระ และเมื่อพระเจ้าสิงโตสิ้นชีวิตชาวเมืองได้นำไปฝังที่ป่านอกเมืองและสร้างพระ นอนเหนือหลุมฝังศพ ปัจจุบันเรียกว่า ดอนพระนอน กล่าวกันว่าผู้ใดพบเห็นพระนอนองค์นี้จะประสบโชคร้ายเนื่องจากกระแสแห่งความโหดร้ายของท้าวสิงโต ปัจจุบันนี้ไม่มีผู้ใดพบเห็นพระนอนองค์นี้อีกเลย..
การเดินทาง : ไปตามเส้นทางมหาสารคาม-อำเภอกันทรวิชัย–กาฬสินธุ์ วัดพุทธมงคล
และพระพุทธรูปยืนมงคล จะอยู่ขวามือถ้าเรามุ่งหน้าไปกาฬสินธุ์
จะอยู่ก่อนถึงอำเภอกันทรวิชัย
และเมื่อเดินทางโดยใช้เส้นทางเดิม เข้าอำเภอกันทรวิชัย พระพุทธรูปมิ่งเมือง หรือพระพุทธรูปสุวรรณมาลี และวัดสุวรรณาวาส จะอยู่ซ้ายมือ ใกล้ตลาดอำเภอกันทรวิชัย
และเมื่อเดินทางโดยใช้เส้นทางเดิม เข้าอำเภอกันทรวิชัย พระพุทธรูปมิ่งเมือง หรือพระพุทธรูปสุวรรณมาลี และวัดสุวรรณาวาส จะอยู่ซ้ายมือ ใกล้ตลาดอำเภอกันทรวิชัย
8. อุทยานมัจฉะโขงกุดหวาย
อุทยานมัจฉาโขงกุดหวาย เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์เชิงชนบทโดยได้รับการประกาศเป็นแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดมหาสารคามเมื่อปี 2540 เนื่องจากแหล่งท่องเที่ยวแห่งนี้มีฝูงปลาหลายร้อยชนิดที่มาจากแม่น้ำชีได้ทะลักเข้ามาอยู่ตั้งแต่ตัวเล็ก และส่วนมากจะเป็นปลาเผาะซึ่งเป็นปลาเนื้ออ่อน ต้นตระกูลของปลานี้จะอยู่ในแม่น้ำโขง ชาวบ้านส่วนใหญ่อนุรักษ์ไว้เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มาดูและศึกษาชนิดพันธุ์ปลาต่าง ๆเหล่านี้
ที่ตั้ง : อยู่บ้านโขงกุดหวาย
หมู่ที่ 7 ตำบลเกิ้ง อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม
หางจากเขตเทศบาลเมืองมหาสารคาม 6 กิโลเมตร ตามเส้นทางมหาสารคาม มุกดาหารบริเวณอุทยานตั้งอยู่ในกุดหวาย
คำว่ากุด หมายถึง ทางน้ำทีแม่น้ำเปลี่ยนทางเดินเป็นเวลานาน
บริเวณกุดหวายทีว่านี้ เดิมต้นหวายเกิดล้อมรอบ สวนตรงเนินกลางกุดมีหญ้าคา
หญ้าแฝกงอกงามมากตรงบริเวณหัวคุ้งน้ำ พระครูพิทักษ์โกสุมพิสัย (ญาครูโม่ง)
เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ศรีได้ไปตั้งสำนักสงฆ์เพื่อเป็นสวนหญ้า
สำหรับเกี่ยวมามุงศาสนสถานในสมัยโบราณ ปัจจุบันบริเวณนี้ชาวบ้านได้ตั้งเป็นวัดชื่อ
พิทักษ์สามัคคีโพธิ์ศรี 2
ประวัติความเป็นมา :
เมื่อพุทธศักราช 2537
ศูนย์บริการเกษตรกรรมเคลื่อนที่และกรมชลประทาน
ได้ขุดลอกเป็นคุ้งน้ำตามแนวเดิมทีกว้างที่สุดประมาณ 120
เมตร ลึกจากผิวดิน 10 เมตร โค้งเป็นรูปเกือกมายาวประมาณ 800
เมตร มีความจุน้ำประมาณ 96,000 ลูกบาศก์เมตร
ด้านทิศตะวันตกมีทางน้ำธรรมชาติ
ไหลล้นลงลำน้ำรอบกุดด้านทิศเหนือมีหมู่บ้านโขงกุดหวายตั้งอยู่
ประชากรเป็นคนไทยลาวและไทยโคราช
พุทธศักราช 2537
ประมาณเดือนตุลาคมเกิดน้ำหลากท่วมสองฝังลำน้ำชีทะลักเข้าโขงกุดหวาย
และไหลลงแม่น้ำมูล แม่น้ำโขงตามลำดับ ฝูงปลาเผาะ
เป็นตระกูลปลาสวายชาวอีสานบางส่วนเรียกว่าปลาซวย ปลาวังก็มี
สำหรับปลาเผาะนี้อาศัยอยู่ตามแม่น้ำโขง และปากแม่น้ำสาขาของแม่น้ำโขง เช่น
ปากแม่น้ำมูล ได้รวมกันเป็นฝูงว่ายทวนกระแสน้ำขึ้นมา
ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน อาจเป็นเพราะว่าแก่งตะนะ
ซึ่งเป็นแก่งและซอกหินที่เคยอาศัย ถูกระเบิดเพื่อสร้างเขื่อนปากมูล
ปลาเหล่านี้ไม่มีที่อาศัยจึงแตกตื่นทวนกระแสน้ำขึ้นมารวมกับปลาเลี้ยงทีน้ำท่วมบ่อ
เช่น ปลาตะเพียน ยี่สก นิล ไน ได้มารวมกันอยู่ ในโขงกุดหวายจำนวนมาก
โดยเฉพาะปลาเผาไม่มากกว่าชนิดอื่น และเป็นปลาขนาดใหญ่ปัจจุบันลำตัวยาวประมาณ 2
ศอก ชอบว่ายเหนือน้ำตามกินอาหารจากคนไปเทียวชม
เมื่อรวมปลาชนิดต่าง ๆ
แล้วมีประมาณหลายแสนตัว ชาวบ้านถือเป็นโอกาสดี จึงร่วมกันปิดกั้นทางน้ำมิให้ไหลลงลำน้ำชี
ต่อมาทางราชการได้เสริมคันดินให้แข็งแรงโดยมีความยาว 30
เมตร สันคันดินกว้าง 8 เมตร และร่วมกันตั้งชื่อว่า อุทยานมัจฉา
การดำเนินงานในอุทยานใช้วัฒนธรรมนำการพัฒนา
ทุกคนในหมู่บ้านร่วมมือกันโดยมีวัดในพุทธศาสนาเป็น ศูนย์กลาง
ภายในวัดก็จะมีสัตว์ที่ชาวบ้านนำมาวัดช่วยเลี้ยง
ไม่ว่าจะเป็น ปลาชนิดต่างๆ เต่า ลิง กระต่าย นก และหนูตะเพา หมา วัว แพะ ฯลฯ
และยังมี พิพิธภัณฑ์บ้านอีสาน อีกด้วย และได้จัดทำโครงการอนุรักษ์ปลาหน้าวัด
เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฉลองสิริราชสมบัติครบ 50ปี
ห้ามจับสัตว์น้ำ หรือทำการประมงในที่รักษาพืชพันธ์
ผู้ฝ่าฝืนต้องรับโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือจำคุกไม่เกินหกเดือน
หรือทั้งจำทั้งปรับ
ภายในอุทยานแห่งนี้ มีร้านจำหน่ายอาหารปลา
มีสะพานไม้ ขนาดกว้าง 1 เมตร 60 เซนติเมตร
ยาว 83 เมตร ข้ามคุ้งน้ำไปบริเวณวัด
และใช้เป็นสถานที่ให้อาหารปลาและชมปลาได้ด้วย มีซุ้มริมฝั่งน้ำ 4 ซุ้ม
แพลอยน้ำขนาด 3 x 5.50 เมตร จำนวน 10 แพ
ให้นักท่องเที่ยวรับประทานอาหารและชมปลา
เป็นแหล่งท่องเที่ยวทีมีประชาชนไปเที่ยวจำนวนมาก ทุกวัน
การเดินทาง
: ออกจากศาลากลางจังหวัดมหาสารคาม
มุ่งหน้าไปทางตะวันออกใช้ถนนหมายเลข 2040 ไปทางนครสวรรค์
มุ่งไปตำบลตลาด เดินทางต่อไปยังถนนหมายเลข 2367 เลี้ยวขวาเข้าสู่ถนน2367 ตรงไปเรื่อยๆจะเจอสามแยกเขียนว่า “หมู่บ้านท่องเที่ยว” เลี้ยวซ้ายไปตามทางประมาณ 3 กิโลเมตร จะเจออุทยานวังมัจฉาซอยเล็กๆ ฝั่งซ้ายมือ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น